

Data Communication 4
1. กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ตอน พรรณนาสัตว์ในป่า
เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงพระนิพนธ์กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงขึ้นในโอกาสตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ซึ่งเป็นพระราชบิดา) ไปนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี โดยเสด็จทางชลมารค (ทางน้ำ) ออกจากอยุธยาไปตามแม่น้ำลพบุรี ไปขึ้นท่าเจ้าสนุก แล้วเสด็จทางสถลมารค (ทางบก) ไปตามถนนส่องกล้องจนถึงพระพุทธบาท ขณะที่ประทับอยู่ที่พระพุทธบาทได้เสด็จประพาสธารทองแดง พระนิพนธ์ที่เกี่ยวกับการเสด็จไปพระพุทธบาทของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรจึงมี 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นกาพย์เห่เรือ เป็นการพรรณนาช่วงที่เสด็จทางชลมารค และกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง เป็นการพรรณนาช่วงที่เสด็จประพาสธารทองแดง ซึ่งเป็นธารน้ำบริเวณเขาพระพุทธบาท
ลักษณะคำประพันธ์
กาพย์ห่อโคลง คำ ประพันธ์ประเภทกาพย์ห่อโคลง มีลักษณะทางฉันทลักษณ์ดังนี้ ขึ้นต้นด้วยกาพย์ยานี 1 บท แล้วตามด้วยโคลงสี่สุภาพ 1 บทใจความเหมือนกับกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง นั้นมีกาพย์ยานีและโคลงสี่สุภาพรวม 108 คู่ และโคลงปิดท้ายมี 2 บท
จุดประสงค์ในการแต่ง
เป็นบทชมธรรมชาติ เพื่อความเพลิดเพลินในการเดินทาง เพื่อพรรณนากระบวนเสด็จทางสถลมารคจากท่าเจ้าสนุกถึงธารทองแดง และพรรณนาธรรมชาติบริเวณธารทองแดง
2. บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมาเเละสามัคคีเสวก
ความเป็นมาและประวัติผู้แต่ง
บทเสภาสามัคคีเสวก (อ่านว่า เส - วก = ข้าราชการในราชสำนัก) เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ บทเสภาสามัคคีเสวกเป็นบทที่ใช้สำหรับขับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่างๆพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจงอธิบายสาเหตุที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเสภาชุดนี้ไว้ดังนี้
“เมื่อข้าพเจ้าไปพักผ่อนอิริยาบทอยู่ที่พระราชวังสนามจันทร์ ได้มีข้าราชบริพารในราชสำนักผลัดเปลี่ยนกันจัดอาหารเลี้ยงกันทุกๆวันเสาร์และเมื่อเลี้ยงแล้วมักจะมีอะไรดูกันเล่นอย่าง ๑ ครั้งเมื่อจวนจะถึงคราวที่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดีจัดเลี้ยงเจ้าพระยาธรรมาได้ขอให้ข้าพเจ้าคิดหาการเล่นสักอย่าง ๑ กินได้คิดผูกระบำ “สามัคคีเสวก” ขึ้นระบำที่เปล่านี้ได้เล่นตามแบบใหม่เป็นครั้งแรก กล่าวคือ ไม่มีบทร้องเลย มีแต่หน้าพาทย์ ประกอบกับท่าระบำเท่านั้น คราวนี้ลำพึงขึ้นว่าในเวลาพักระหว่างตอนแห่งระบำนั้น ครั้งจะให้พิณพาทย์บรรเลง พิณพาทย์นั้นก็ได้ตีเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลาที่ระบำ ควรที่ให้พิมพ์ภาพนั้นได้พักหายเหนื่อยบ้าง ข้าพเจ้าจึงตกลงแต่งบทเสภาขึ้นสำหรับขับระหว่างตอน”
จากคำอธิบายนี้ จะเห็นได้ว่า บทเสภาสามัคคีเสวก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระราชนิพนธ์ขึ้นตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดีโดยครั้งแรกพระองค์ทรงคิดการแสดงชื่อว่า “ระบำสามัคคีเสวก” ซึ่งเป็นการรำตามเพลงหน้าพาทย์ไม่มีบทร้อง และต่อมาได้แต่งบทเสภาขึ้นขับระหว่างเวลาพักตอนเพื่อให้พิณพาทย์ได้พักเหนื่อยบ้าง
บทเสภาสามัคคีเสวกเป็นบทเสภาขนาดสั้น มี ๔ ตอน เนื้อหาในแต่ละตอนเป็นการเสนอแนวคิด โดยแนวคิดสำคัญคือความสามัคคีและความจงรักภักดีของข้าราชการที่มีต่อชาติและพระมหากษัตริย์
บทเสภาตอนที่ ๑ กิจการแห่งพระนนที กล่าวถึงพระนนทีซึ่งเป็นเทพเสวกของพระอิศวรเมื่อพระอิศวรเสด็จที่ใด พระนนทีจะแปลงกายเป็นโคอุสุภราชพาหนะของพระอิศวรและทำหน้าที่ด้วยความขยันขันแข็ง นับเป็นตัวอย่างของเสวกที่ดี เมื่อเสด็จเทวกฤตก็จะกลับมาเป็นเทพดังเดิมเมื่อขับเสภาจบจะเป็นการแสดงจับระบำ ตอน มียักษ์กาลเนมี เข้ามาไล่จับนางฟ้า พระนนทีบัญชาให้เหล่าเทพเสวกไล่จับและลงอาญาตียักษ์กาลเนมี แล้วขับไป จากนั้นพระอินทร์และจตุโลกบาลเสด็จเข้ามาเฝ้าพระอิศวร
บทเสภาตอนที่ ๒ กรีนิรมิต กล่าวสรรเสริญพระคเณศ ผู้เป็นเทพแห่งศิลปวิทยาต่างๆและเป็นผู้สร้างช้างตระกูลต่างๆ เพื่อเป็นเพื่อนเฉลิมพระยศของพระมหากษัตริย์ การแสดงระบำเริ่มด้วยระบำช้าง ๘ตระกูล ยักษ์กาลเนมีออกไล่จับช้าง พระคเณสต่อสู้และขับไล่ยักษ์ไปได้จากนั้นจึงมอบช้างให้จตุโลกบาล ร่ายมนต์สร้างพระยาช้างเผือก และบัญชาให้หมอเฒ่าจับช้างและจัดกระบวนแห่พระยาช้างเผือก
บทเสภาตอนที่ ๓ วิศวกรรมา กล่าวสรรเสริญพระวิศวกรรม เทพแห่งงานศิลป์ การก่อสร้างและการช่างนานา กล่าวถึงความสำคัญของศิลปะของชาติ การแสดงระบำเริ่มด้วยพระวิศวกรรมออกมาร่ายรำ ต่อจากนั้นนางวิจิตเลขาออกมารำทำท่าวาดภาพถวายหลังจากนั้น พระรูปการออกมาร่ายรำทำท่าปั้นรูปถวาย จากนั้นเป็นการแสดงอาวุธต่างๆ และจบด้วยระบำนพรัตน์ซึ่งเป็นอัญมณีทั้ง ๙ ชนิด มาจับระบำมารำโคม
บทเสภาตอนที่ ๔ สามัคคีเสวก กล่าวถึงความสมานสามัคคีของหมู่ราชเสวก ให้มีความมั่นคงจงรักภักดี ซื่อตรง ขยันขันแข็งในการทํางาน รักษาเกียรติของข้าราชการ การแสดงเริ่มด้วยราชเสวก ๒๘ หมู่ ออกมาสวนสนามหมู่ละ ๑ คู่ จบแล้วทุกคนร้องเพลงแสดงความจงรักภักดีพร้อมกัน
เรื่องย่อ
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา กล่าวถึง ประเทศชาติใดที่ไม่มีความสงบสุข ประชาชนย่อมไม่มีเวลาสร้างสรรค์งานศิลปะและกล่าวว่า ศิลปะนั้นมีคุณค่าแสดงถึงความมีอารยธรรมของชาติ ประเทศไทยก็เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองเพราะมีช่างศิลป์ที่มีความชำนาญในศิลปะทุกแขนง คนไทยจึงควรส่งเสริมให้ศิลปะของชาติคงอยู่สืบต่อไป
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก กล่าวถึงหน้าที่ของข้าราชบริพารที่ดี คือ จะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ มีความสามัคคี มีวินัย เปรียบเสมือนลูกเรือที่จะต้องเชื่อฟังกัปตัน มิฉะนั้นเรือที่บังคับจะลงไปในที่สุด
3.ศิลาจารึกหลักที่ ๑
ผู้แต่ง พระบามสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนเสภา (กลอนสุภาพ)
ตอน วิศวกรรมา เป็นกลอนทั้งหมด ๑๓ บท
ตอน สามัคคีเสวก เป็น กลอนทั้งหมด ๙ บท
ที่มาของเรื่อง เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๖) ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ ขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๕๗
จุดประสงค์ในการแต่ง เพื่อใช้เป็นบทสำหรับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่างๆ
ประวัติความเป็นมา
เมื่อราชวงศ์สุโขทัยได้สูญเสียอำนาจและกลายเป็นเมืองร้าง ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง และศิลาจารึกหลักอื่น ๆ ที่จารึกในยุคนั้นก็สาบสูญ ไปจากความทรงจำของชาวไทย จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ เมื่อพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงดำรง พระยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ และผนวชอยู่ที่วัดราชาธิวาสได้เสด็จธุดงค์เมืองเหนือ (ปีมะเส็ง เญจศก จุลศักราช ๑๑๙๓) ในระหว่างประทับอยู่ที่สุโขทัยได้ทรงพบศิลาจารึก และพระแท่นมนังศิลา ณ บริเวณเนินประสาทพระราชวังเก่าสุโขทัย ครั้นเมื่อจะเสด็จกลับก็โปรดเกล้าฯ ให้นำพระแท่น มนังคศิลา และศิลาจารึกกลับมาไว้ที่วัดสมอราย(ราชาธิวาส) ที่กรุงเทพฯ แล้วย้ายมาไว้ ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์จึงได้โปรดให้นำมาไว้ที่วิหารขาว วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาในปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้นำศิลาจารึกนี้ไปรวมกับศิลาจารึกอื่นๆ ในหอสมุดแห่งชาติ ปัจจุบันนี้ อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ผู้แต่ง
มีผู้ศึกษาเกี่ยวกับศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลายท่าน และผู้ที่มีบทบาท สำคัญก็คือ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้าน ภาษาตะวันออก ได้ศึกษาศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง และได้จัดทำคำอ่านไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ และผู้เชี่ยวชาญ ทางภาษาโบราณ อีกหลายคน ได้ศึกษาการอ่านคำจารึก และการตีความถ้อยคำในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ศึกษาคำอ่านทำให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นจากการสันนิษฐาน ผู้แต่งอาจมีมากกว่า ๑ คน เพราะเนื้อเรื่อง ในหลักศิลาจารึกแบ่งได้เป็น ๓ ตอน คือ
ตอนที่ 1 กล่าวถึง พระราชประวัติของพ่อขุนรามคำแหง ใช้คำแทนชื่อว่า "กู" เข้าใจว่า พ่อขุนรามคำแหงคงจะทรงแต่งเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระองค์เอง
ตอนที่ ๒ เป็นการบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ใช้คำว่าพ่อขุนรามคำแหง โดยเริ่มต้นว่า "เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยนี้ดี" จึงเข้าใจว่าจะต้อง เป็นผู้อื่นแต่ง เพิ่มเติมภายหลัง
ตอนที่ ๓ เป็นตอนยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง โดยเริ่มต้นว่า "พ่อขุนรามคำแหง นั้นหาเป็นท้าวเป็นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย" ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ สันนิษฐานว่าความ ในตอนที่ ๓ คงจารึกหลังตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ จึงเข้าใจว่าผู้อื่นแต่งต่อในภายหลัง
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
๑. เพื่อเป็นหลักฐานแสดงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น เช่น หลักฐานการประดิษฐ์อักษรไทย เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนชี้แจงอาณาเขตของกรุงสุโขทัย
๒. เพื่อสดุดีพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง
ลักษณะการแต่ง
แต่เป็นร้อยแก้ว ลักษณะเป็นประโยคสั้น ๆ กะทัดรัด และมีสัมผัสคล้องจองกันระหว่างวรรคบ้าง
เนื้อเรื่อง
เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือ
ตอนที่ ๑ ตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ - ๑๘ เป็นพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ตั้งแต่ประสูติ จนถึงเสด็จขึ้ครองราชย์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระจริยวัตรที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระราชบิดา พระราชมารดา และพระเชษฐา
ตัวอย่างข้อความ
"พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง กูพี่น้องท้องเดียวกันห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงโสง พี่เผือผู้อ้ายตายจากเผือเตรียมแต่ยังเล็ก"
"เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเราแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลากูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ
ตอนที่ ๒ ตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ จนถึงด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๑ กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง เหตุการณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ พระศาสนา การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๒๖
ตัวอย่างข้อความ
"เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจัดใคร่ค้าเงินค้าทองค้าไพร่ฟ้าหน้าใส"
"คนเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักอวยทาน"
ตอนที่ ๓ ตั้งแต่ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ จนถึงบรรทัดที่ ๒๗ (บรรทัดสุดท้าย) เป็นการยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทัย ตัวอย่างข้อความ
"ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้าน กลางเมือง มีถ้อย มีความ เจ็บท้องข้องใจ มักจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปสั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียกเมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ ไพร่ในเมืองสุโขทัยจึงชม"
คุณค่า
๑. ด้านภาษา จารึกของพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด ที่แสดงให้เห็นถึงกำเนิดของวรรณคดีและอักษรไทย เช่น กล่าวถึงหลักฐานการประดิษฐ์อักษรไทย ด้านสำนวนการใช้ถ้อยคำในการเรียบเรียงจะเห็นว่า - ถ้อยคำส่วนมากเป้นคำพยางค์เดียวและเป็นคำไทยแท้ เช่น อ้าง โสง นาง เป็นต้น - มีคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตปนอยู่บ้าง เช่น ศรีอินทราทิตย์ ตรีบูร อรัญญิก ศรัทธา พรรษา เป็นต้น - ใช้ประโยคสั้น ๆ ให้ความหมายกระชับ เช่น แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง - ข้อความบางตอนใช้คำซ้ำ เช่น "ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ - นิยมคำคล้องจองในภาษาพูด ทำให้เกิดความไพเราะ เช่น "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบเอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย" - ใช้ภาษาที่เป็นถ้อยคำพื้น ๆ เป็นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน
๒. ด้านประวัติศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง จารึกไว้ทำนองเฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสภาพสังคมของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้อ่านรู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของกรุงสุโขทัย พระปรีชาสามารถของพ่อขุนรามคำแหง และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุโขทัย
๓. ด้านสังคม ให้ความรู้ด้านกฎหมายและการปกครองสมัยกรุงสุโขทัย ว่ามีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด
๔. ด้านวัฒนธรรม ประเพณี ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของชาวสุโขทัยที่ปฏิสืบมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การเคารพบูชาและเลี้ยงดูบิดามารดา นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงประเพณีทางศาสนา เช่น การทอดกฐินเมื่อออกพรรษา ประเพณีการเล่นรื่นเริงมีการจุดเทียนเล่นไฟ พ่อขุนรามคำแหงโปรดให้ราษฎรทำบุญและฟังเทศน์ในวันพระ เช่น "คนเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักอวยทาน.......ฝูงท่วยมีศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน"
4.บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก



ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนบทละคร
การดำเนินเนื้อเรื่องเป็นกลอนบทละคร มีลักษณะบังคับเหมือนกลอนสุภาพ วรรคแรก มักขึ้นต้น ด้วย เมื่อนั้น บัดนั้น มาจะกล่าวบทไป เป็นต้น
เมื่อนั้น ใช้กับตัวเอกของเรื่องหรือตัวละครกษัตริย์
บัดนั้น ใช้กับตัวบทละครสามัญ หรือไม่สำคัญ
มาจะกล่าวบทไป ใช้เมื่อขึ้นตอนใหม่ หรือความใหม่
วรรณคดีสโมสรยกย่องให้เป็นยอดแห่งกลอนบทละคร
***รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย ชื่อว่า รามายณะ***
เนื้อเรื่องย่อ
นนทกมีหน้าที่ล้างเท้าเทวดาอยู่ที่เชิงเขาไกรลาส เมื่อเทวดาพากันไปเฝ้าพระอิศวร พวกเทวดาชอบ ข่มเหง นนทกอยู่เป็นประจำโดยการลูบหัวบ้าง ตบหัวบ้าง จนกระทั่งผมร่วงหมด นนทกแค้นใจเป็นอันมากจึงไปเฝ้าพระอิศวรกราบทูลว่าตนเองได้รับใช้มานานยังไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบ แทนเลย จึงทูลขอให้นิ้วเป็นเพชรมีฤทธิ์ชี้ผู้ใดก็ให้ผู้นั้นถึงตายได้ พระอิศวรก็ประทานให้ตามขอเมื่อ เทวดามาลูบศีรษะเล่นเช่นเคย นนทกก็ชี้ให้ตายลงเป็นจำนวนมาก พระอิศวรทรงทราบก็กริ้วโปรดให้พระนารายณ์ไปปราบ พระนารายณ์แปลงกายเป็นนางฟ้าสวยงาม มายั่วยวน นนทกนึกรักจึงเกี้ยวนาง นางแปลงจึงชวนให้นนทกร่ายรำก่อนจึงจะรับรัก นนทกตกลงรำตาม ไปจนถึงท่านาคาม้วนหาง (ท่ารำที่ใช้นิ้วเพชรชี้ที่เข่าตนเอง) นนทกก็ล้มลง ก่อนตายนนทกเห็นนางแปลงปรากฏร่างเป็นพระนารายณ์จึงต่อว่าพระนารายณ์มี อำนาจมีถึงสี่กร เหตุใดจึงต้องทำอุบายมาหลอกลวงตน พระนารายณ์จึงให้ นนทกไปเกิดใหม่ให้มีถึง 20 มือมีฤทธิ์มากมายแล้วพระองค์จะตามไปเกิดเป็นมนุษย์มีเพียง 2 มือลงไปสู้ด้วยและจะเอาชนะให้ ได้
เนื้อเรื่อง
มาจะกล่าวบทไปถึง นนทกน้ำใจกล้าหาญ
ตั้งแต่พระสยมภูวญาณ ประทานให้ล้างเท้าเทวา
อยู่บันไดไกรลาสเป็นนิจ สุราฤทธิ์ตบหัวแล้วลูบหน้า
บ้างให้ตักน้ำลางบาทา บ้างถอนเส้นเกศาวุ่นไป
จนผมโกร๋นโล้นเกลี้ยงถึงเพียงหู ดูเงาในน้ำแล้วร้องไห้
ฮึดฮัดขัดแค้นแน่นใจ ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า
เป็นชายดูดู๋มาหมิ่นชาย มิตายจะได้มาเห็นหน้า
คิดแล้วก็รีบเดินมา เฝ้าพระอิศราธิบดี ฯ
ตาแดงดั่งแสงไฟฟ้า อุปมา
ครั้นถึงจี่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระอิศวรเรืองศรี
ว่าพระองค์เป็นหลักธาตรี ย่อมเมตตาปรานีทั่วพักตร์
ผู้ใดทำชอบต่อเบื้องบาท ก็ประสาททั้งพรแลยศศักดิ์
ตัวข้านี้มีชอบนัก ล้างเท้าสุรารักษ์ถึงโกฏิปี
พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช ไม่โปรดเกศแก่ข้าบทศรี
กรรมเวรสิ่งใดดั่งนี้ ทูลพลางโศกีรำพัน ฯ
พระองค์เป็นหลักธาตรี อุปลักษณ์
คำศัพท์
โกฏิปี ๑๐ ล้านปี
บทบงสุ์,บทศรี ใช้หมายถึงพระบาทของเทวดาหรือกษัตริย์
ธาตรี แผ่นดิน,โลก
เมื่อนั้น พระอิศวรบรมรังสรรค์
เห็นนนทกโศกาจาบัลย์ พระทรงธรรม์ให้คิดเมตตา
จึ่งมีเทวราชบรรหาร เอ็งต้องการสิ่งไรจงเร่งว่า
ตัวกูจะให้ดั่งจินดา อย่าแสนโศกาอาลัย ฯ
บัดนั้น นนทกผู้มีอัชฌาสัย
น้อมเศียรบังคมแล้วทูลไป จะขอพรเจ้าไตรโลกา
ให้นิ้วข้าเป็นเพชรฤทธี จะชี้ใครจงม้วยสังขาร์
จะได้รองเบื้องบาทา ไปกว่าจะสิ้นชีวี ฯ
เมื่อนั้น พระสยมภูวญาณเรืองศรี
ได้ฟังนนทกพาที ภูมีนิ่งนึกตรึกไป
ไอ้นี่มีชอบมาช้านอน จำจะประทานพรให้
คิดแล้วก็ประสิทธิ์พรชัย จงได้สำเร็จมโนรถ ฯ
บัดนั้น นนทกผู้ใจสาหส
รับพรพระศุลีมียศ บังคมลาแล้วบทจรไป ฯ
ครั้นถึงบันไดไกรลาส ขัดสมาธินั่งยิ้มริมอ่างใหญ่
คอยหมู่เทวาสุราลัย ด้วยใจกำเริบอหังการ์ ฯ
เมื่อนั้น เทวาสุราฤทธิ์ทุกทิศา
สุบรรณคนธรรพ์วิทยา ต่างมาเฝ้าองค์พระศุลี ฯ
ครั้นถึงซึ่งเซิงไกรลาส คนธรรพ์เทวาราชฤาษี
ก็ชวนกันย่างเยื้องจรลี เข้าไปยังที่อัฒจันทร์ ฯ
นนทกก็ล้างเท้าให้ เมื่อจะไปก็จับหัวสั่น
สัพยอกหยอกเล่นเหมือนทุกวัน สรวลสันต์เยาะเย้ยเฮฮา ฯ
บัดนั้น นนทกน้ำใจแกล้วกล้า
กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน
จนหัวไม่มีผมติด ขบฟันแล้วชี้นิ้วไป ฯ
คำศัพท์
สุบรรณ ครุฑ คือ พญานกในเทพนิยาย
คนธรรพ์ ชาวสวรรค์พวกหนึ่ง มีความชำนาญในวิชาคนตรีและขับร้อง
วิทยา ในที่นี้คือ วิทยาธร ชาวสวรรค์พวกหนึ่งมีวิชาอาคม
ต้องสุบรรณเทวานาคี ดั่งพิษอสุนีไม่ทนได้
ลัมฟาดกลาดเกลื่อนลงทันใด บรรลัยไม่ทันพริบตา ฯ
เมื่อนั้น หัสนัยน์เจ้าตรัยตรึงศา
เห็นนนทกนั้นทำฤทธา ชี้หมู่เทวาวายปราณ
ตกใจตะลึกรำพึงคิด ใครประสิทธิ์ให้มันมาสังหาร
คิดแล้วเข้าเฝ้าพระทรงญาณ ยังพิมานทิพรัตน์รูจี ฯ
ครั้นถึงจึ่งประณตบทบงสุ์ ทูลองค์พระอิศวรเรืองศรี
ว่านนทกมันทำฤทธี ชี้หมู่เทวานั้นบรรลัย
อันซึ้งนิ้วเพชรของมัน พระทรงธรรม์ประทานหรือไฉน
จึ่งทำอาจองทะนงใจ ไม่เกรงใต้เบื้องบาทา ฯ
คำศัพท์
นาคี นาค คืองูใหญ่มีหงอน เป็นสัตว์ในนิยาย
อสุนีบาต หมายถึง ฟ้าผ่า
ตรัยตรึงศา ตรัยตรึงศ์หรื่อดาวดึงส์ แปลว่า ๓๓
หัสนัยน์ ผู้มีพันตา หมายถึง พระอินทรเป็นเทวราชผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมื่อนั้น พระอิศวรบรมนาถา
ได้ฟังองค์อมรินทรา จึ่งมีบัญชาตอบไป
ไอ้นี่ทำชอบมาช้านาน เราจี่งประทานพรให้
มันกลับทรยศกบฏใจ ทำการหยาบใหญ่ถึงเพียงนี้ ฯ
ตรัสแล้วจึ่งมีบัญชา ดูราพระนารายณ์เรืองศรี
ตัวเจ้าผู้มีฤทธี เป็นที่พึ่งแก่หมู่เทวัญ
จงช่วยระงับดับเข็ญ ให้เย็นทั่วพิภพสรวงสวรรรค์
เชิญไปสังหารอ้ายอาธรรม์ ให้มันสิ้นชีพชีวา ฯ
เมื่อนั้น องค์นารายณ์นาถา
รับสั่งถวายบังคมล ออกมาแปลงกายด้วยฤทธี ฯ
เป็นโฉมนางเทพอัปสร อ้อนแอ้นอรชรเฉลิมศรี
กรายกรย่างเยื่องจรลี ไปสู่ที่นนทกจะเดินมา ฯ
คำศัพท์
กระบถ กบฏ
นางเทพอัปสร นางฟ้า
บัดนั้น นนทกผู้ใจแกล้วกล้า
สิ้นเวลาเฝ้าเจ้าโลกา สำราญกายาแล้วเดินมา ฯ
เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์เนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ
โฉมเอยโฉมเฉลา เสาวภาค์แน่งน้อยพิสมัย
เจ้ามาแต่สวรรค์ชั้นใด นามกรชื่อไรนะเทวี
ประสงค์สิ่งอันใดจะใคร่รู้ ทำไมมาอยู่ที่นี่
ข้าเห็นเป็นน่ปรานี มารศรีจงแจ้งกิจจา ฯ
เมื่อนั้น นางนารายณ์เยาวลักษณ์เสน่หา
ได้ฟังยิ่งทำมารยา ชำเลืองนัยนาแล้วตอบไป
ทำไมมาล่วงไถ่ถาม ลวนลามบุกรุกเข้ามาใกล้
ท่านนี้ไม่มีความเกรงใจ เราเป็นข้าใช้เจ้าโลกา
พนักงานฟ้อนรำระบำบัน ชื่อสุวรรณอัปสรเสน่หา
มีทุกข์จึ่งเที่ยวลงมา หวังว่าจะให้คลายร้อน ฯ
สุดเอยสุดสวาท โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร
ทั้งวาจาจริตก็งามงอน ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์
อันซึ่งธุระของเจ้า หนักเบาจงแจ้งให้ประจักษ์
ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก ก็จะเป็นภักดิ์ผลสืบไป
ตัวพี่มิได้ลวนลาม จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้
สาวสรรค์ขวัญฟ้ายาใจ พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี ฯ
เมื่อนั้น นางเทพนิมิตโฉมศรี
ค้อนแล้วจึ่งตอบวาที ว่านี้ไพเราะเป็นพ้นไป
อันซึ่งฝากไมตรีข้า ข้อนั้นไพเราะเป็นพ้นไป
อันซึ่งจะฝากไมตรีข้า ข้อนั้นอย่าว่าหารู้ไม่
เราเป็นนางรำระบำใน จะมีมิตรที่ใจผูกพัน
ในการนักเลงเพลงฟ้อน จึ่งจะผ่อนด้วยความเกษมสันต์
รำได้ก็มารำตามกัน นั่นแหละจะสมดั่งจินดา ฯ
บัดนั้น นนทกผู้ใจแกล้วกล้า
ไม่รู้ว่านารายณ์แปลงมา ก็โสมนัสสาพันทวี
ยิ้มแล้วจึ่งกล่าวว่าสุนทร ดูก่อนนางฟ้าเฉลิมศรี
เจ้าจักปรารมภ์ไปไยมี พี่เป็นคนเก่าพอเข้าใจ
เชิญเจ้ารำเถิดนะนางฟ้า ให้สิ้นท่าที่นางจำได้
ตัวพี่จะรำตามไป มิให้ผิดเพลงนางเทวี ฯ
เมื่อนั้น พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นนนทกหลงกลก็ยินดี ทำทีเยื้องกรายให้ยวนยิน ฯ
เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน
ทั้งกวางเดินหงส์บิน กินรินเลียบถ้ำอำไพ
อีกช้านางนอนภมรเคล้า ทั้งแขกเต้าผาลาเพียงไหล่
เมขลาโยนแก้วแววไว มยุเรศฟ้อนในอัมพร
ลมพัดยอดตองพรหมนิมิต ทั้งพิสมัยเรียงหมอน
ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์
ฝ่ายนนทกก็รำตาม ด้วยความพิสมัยใหลหลง
ถึงท่านาคาม้วนหางวง ชี้ตรงถูกเพลาทันใด ฯ
ด้วยเดชนิ้วเพชรสิทธิศักดิ์ ขาหักล้มลงไม่ทนได้
นางกลายเป็นองค์นารายณ์ไป เหยียบไว้จะสังหารราญรอน ฯ
บัดนั้น นนทกแกล้วหาญชาญสมร
เห็นพระองค์ทรงสังข์คทาธร เป็นสี่กรก็รู้ประจักษ์ใจ
ว่าพระหริวงศ์ทรงฤทธิ์ ลวงล้างชีวิตก็เป็นได้
จึ่งมีวาจาถามไป โทษข้าเป็นไฉนให้ว่ามา ฯ
เมื่อนั้น พระนารายณ์บรมนาถา
ได้ฟังจึ่งมีบัญชา โทษามึงใหญ่หลวงนัก
ด้วยทำโอหังบังเหตุ ไม่เกรงเดชพระอิศวรทรงจักร
เอ็งฆ่าเทวาสุรารักษ์ โทษหนักถึงที่บรรลัย
ตัวกูก็คิดเมตตา แต่จะไว้ชีวามึงไม่ได้
ตรัสแล้วแกว่งตรีเกรียงไกร แสงกระจายพรายไปดั่งไฟกาล ฯ
บัดนั้น นนทกผู้ใจแกล้วหาญ
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน ซึ่งพระองค์จะผลาญชีวี
เหตุใดมิทำซึ่งหน้า มารยาเป็นหญิงไม่บัดสี
หรือว่ากลัวนิ้วเพชรนี้ จะชี้พระองค์ให้บรรลัย
ตัวข้ามีมือแต่สองมือ หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้
แม้นสี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะทำได้ดั่งนี้ ฯ
เมื่อนั้น พระนารายณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที กูนี้แปลงเป็นสตรีมา
เพราะมึงจะถึงแก่ความตาย ฉิบหายด้วยหลงเสน่หา
ใช่ว่ากลัวฤทธา ศักดานิ้วเพชรนั้นเมื่อไร
ชาตินี้มึงมีแต่สองหัตถ์ จงไปอุบัติเอาชาติใหม่
ให้สิบเศียรสิบพักตร์เกรียงไกร เหาะเหินเดินได้ในอัมพร
มีมือยี่สิบซ้ายขวา ถือคทาอาวุธธนูศร
กูจะเป็นมนุษย์แต่สองกร ตามไปราญรอนชีวี
ให้สิ้นวงศ์มึงอันศักดา ประจักษ์แก่เทวาทุกราศี
ว่าแล้วกวัดแกว่งพระแสงตรี ภูมีตัดเศียรกระเด็นไป ฯ
ครั้นล้างนนทกมรณา พระจักราผู้มีอัชณาสัย
เหาะระเห็จเตร็จฟ้าด้วยว่องไว ไปยังเกษียรวารี ฯ
เมื่อนั้น ฝ่ายนางรัชดามเหสี
องค์ท้าวลัสเตียนธิบดี เทวีมีราชบุตรา
คือว่านนทกมากำเนิด เกิดเป็นพระโอรสา
ชื่อทศกัณฐ์กุมารา สิบเศียรสิบหน้ายี่สิบกร
อันน้องซึ่งถัดมานั้น ชื่อกุมภรรณชาญสมร
องค์พระบิตุเรศมารดร มิให้อนาทรสักนาที
บทวิเคราะห์
คุณค่าด้านเนื้อหา บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก เป็นวรรณคดีที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียนับได้ว่าเป็น วรรณคดีที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยปรากฏอยู่ แก่นเรื่องที่สำคัญที่สะท้อนออกมาคือการให้ อำนาจแก่บุคคลที่ไม่สามารถใช้สติควบคุมตัวเองได้ย่อมก่อให้เกิดความเดือดร้อน
แก่นเรื่องอีกประการคือ การผูกใจเจ็บแค้นไม่ยอมให้อภัย ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อน เหมือนกับที่นนทกแค้นนางแปลง จนมาจุติเป็นทศกัณฐ์และพ่ายแพ้แก่พระราม เพราะความพยาบาท ของตน
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๑) รสทางวรรณคดี
๑.๑) เสาวรจนี คือ (ชมโฉม ชมความงาม) การชมความงามทั้งของตัวละครและสิ่งต่างๆ เมื่อ นนทกเห็นนางนารายณ์แปลงก็ตกตะลึงในความงาม ถึงกับพรรณนาออกมาดังความว่า
“เหลือบเห็นสตรีวิไลลักษณ์ พิศพักตร์ผ่องเพียงแขไข
งามโอษฐ์งามแก้มงามจุไร งามนัยน์เนตรงามกร
งามถันงามกรรณงามขนง งามองค์ยิ่งเทพอัปสร
งามจริตกิริยางามงอน งามเอวงามอ่อนทั้งกายา
ถึงโฉมองค์อัครลักษมี พระสุรัสวดีเสน่หา
สิ้นทั้งไตรภพจบโลกา จะเอามาเปรียบไม่เทียบทัน
ดูไหนก็เพลินจำเริญรัก ในองค์เยาวลักษณ์สาวสวรรค์
ยิ่งพิศยิ่งคิดผูกพัน ก็เดินกระชั้นเข้าไป ฯ”
๑.๒) นารีปราโมทย์ คือ (บทเกี้ยวพาราสี) การเล้าโลมเกี้ยวพาราสีหรือพูดให้เพลิดเพลิน นนทกเกี้ยวพาราสีนางนารายณ์แปลง ดังความว่า
“สุดเอยสุดสวาท โฉมประหลาดล้ำเทพอัปสร
ทั้งวาจาจริตก็งามงอน ควรเป็นนางฟ้อนวิไลลักษณ์
อันซึ่งธุระของเจ้า หนักเบาจงแจ้งให้ประจักษ์
ถ้าวาสนาเราเคยบำรุงรัก ก็จะเป็นภักษ์ผลสืบไป
ตัวพี่มิได้ลวนลาม จะถือความสิ่งนี้นี่ไม่ได้
สาวสวรรค์ขวัญฟ้ายาใจ พี่ไร้คู่จะพึ่งแต่ไมตรี ฯ”
๑.๓) พิโรธวาทัง คือ (บทตัดพ้อต่อว่า หรือบทโกรธ) ดังตอนที่นนทกต่อว่าเทวดาที่แกล้งตน ดังความว่า
“บัดนั้น นนทกน้ำใจแกล้วกล้า
กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเหงเล่นทุกวัน
จนหัวไม่มีผมติด สุดคิดที่เราจะอดกลั้น
วันนี้เราจะได้เห็นกัน ขบฟันแล้วชี้นิ้วไป ฯ”
และตอนที่นนทกต่อว่าพระนารายณ์ ดังความว่า
“บัดนั้น นนทกผู้ใจแกล้วหาญ
ได้ฟังจึ่งตอบพจมาน ซึ่งพระองค์จะผลาญชีวี
เหตุใดมิทำซึ่งหน้า มารยาเป็นหญิงไม่บัดสี
ฤว่ากลัวนิ้วเพชรนี้ จะชี้พระองค์ให้บรรลัย
ตัวข้ามีมือแต่สองมือ หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้
แม้นสี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะทำได้ดั่งนี้ ฯ”
๑.๔) สัลลาปังคพิสัย (บทเศร้าโศก คร่ำครวญ พร่ำเพ้อ อาลัยอาวรณ์) ในเรื่องกล่าวถึงตอนที่ นนทกคร่ำครวญรำพึงรำพัน เมื่อเข้าเฝ้าพระอิศวร
“พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช ไม่โปรดเกศแก่ข้าบทศรี
กรรมเวรสิ่งใดดั่งนี้ ทูลพลางโกศีรำพัน ฯ ”
๒) การใช้โวหารและถ้อยคำ
๒.๑) การหลากคำ เพื่อให้เกิดความไพเราะ และสามารถเลือกใช้คำให้ลงสัมผัสที่ต้องการได้ อย่างไพเราะเหมาะสม
๒.๒) การใช้คำแสดงอารมณ์ เพื่อให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วม
๒.๓) การใช้คำสั้นแต่กินความมาก บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก สามารถเล่าเรื่องโดยใช้บทกลอนสั้นๆ แต่ใจความครบถ้วนและไพเราะ
๒.๔) การใช้อุปมาเปรียบเทียบ คือการเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถ จินตนาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณค่าด้านสังคม
๑) สะท้อนให้เห็นค่านิยมของคนไทย ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
๒) สะท้อนให้เห็นความเชื่อของคนไทย ซึ่งบทละครเรื่องนี้ สะท้อนความเชื่อ เรื่องโลกหน้า ภพหน้า
๓) สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมด้านนาฏศิลป์ไทย ซึ่งมีการกล่าวถึงท่ารำแม่บทแบบต่างๆ ของไทย
ข้อคิดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
๑) การอาฆาต พยาบาท จองเวร นำมาซึ่งความเดือดร้อน การเป็นผู้ที่รู้จักการให้อภัย ไม่ผูกใจเจ็บ ย่อมนำมาซึ่งความสุขกาย สบายใจ
๒) การให้อำนาจแก่บุคคลที่ขาดสติย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อน ผู้ให้อำนาจควรใช้สติปัญญา ไตร่ตรองพิจารณา และผู้ได้รับอำนาจควรนำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง
๓) อย่ารังแกผู้ที่ด้อยกว่าตน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอาศัยอยู่ร่วมกันต้องไม่เบียดเบียนกัน ไม่อย่าง นั้น ความเดือดร้อนนั้นอาจกลับมาสนองตนเองในภายหลัง
๔) ความลุ่มหลงมัวเมา จะทำให้ภัยมาถึงตัว ความลุ่มหลงย่อมทำให้มนุษย์ขาดสติในการใช้ชีวิต ทำ ให้สามารถ ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาครอบครอง
ประวัติผู้แต่ง
พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — 7 กันยายน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พ.ศ. 2352) พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พุทธศักราช 2279 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ
จุดประสงค์ในการแต่ง
1. ใช้เป็นบทละครใน2. ทรงเกรงว่าจะสูญหายไป 3. เพื่อปลุกให้ประชาราษฎรให้ห้าวหาญ 4. เพื่อให้มีเรื่องรามเกียรติ์ฉบับสมบูรณ์ 5. เพื่อแสดงให้เห็นว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม 6. เพื่อให้มีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อบิดามารดา7. เพื่อให้เห็นตัวอย่างของความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งต่างๆในโลก